วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555


     สวัสดีทุกท่านบทความฉบับนี้ เป็นบทความที่สร้างโดยนายพิชิต โอเจริญชัย นักศึกษาปริญญาเอก DBA.04 มหาวิทยาลัยศรีปทุม ที่ท่านอาจารย์ ผศ.ดร.วิชิต อู่อ้น ท่านได้ฝึกให้นักศึกษาของท่าน มีความรู้ความเข้าในใจเรื่องการจัดเชิงกลยุทธ์ชั้นสูง เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้จริงและสามารถปรับใช้กับความรู้เดิมที่เคยเรียนมาในระดับปริญญาโท หากแต่การเรียนในครั้งนี้ต้องการให้วิเคราะห์ ที่ประกอบด้วยทฤษฎีต่าง ๆ เพียงเพื่อให้งานออกมามีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น จึงทำให้ลองเขียนบทความเพื่อที่จะเป็นแนวทางการศึกษาต่อๆไป
                                                                 การเริ่มต้นวางแผนทางธุรกิจ
จาก เอกสารการเรียน รูปที่ 1 อธิบายได้ว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการวางแผนทางกลยุทธ์ต่าง ๆ   มีถึงปัจจัยสำคัญอยู่ 8 ประการ ที่มีความหมายและลำดับขั้นและเป็นไปตามแนวทางที่มีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน และสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตาม ของแต่ ลักษณะ    ทั้งนี้สามารถอธิบายตามภาพประกอบดังนี้


                                                   Source: (Harris and Ogbonna, 2006)
Fig.1: Factors associated with the successful initiation of strategic planning.
กรอบความคิดที่ 1Management Characteristics” ลักษณะทางด้านการบริหารจัดการ ซึ่งจะมีแนวคิดหรือหลักการปฏิบัติประกอบด้วย 2 ปัจจัย คือ
              1. Long-term Orientation: หมายถึง การวางแผนทางด้านการบริหารจัดการของบริษัท ในระยะยาว หรือการกำหนดแผนงานและการจัดการเชิงกลยุทธ์ ควรจะมีทิศทางที่แน่นอนว่าจะดำเนินการหรือจัดการรูปแบบของบริษัทอย่างไร ทั้งในส่วนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า เริ่มต้นจากมองสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว มีผลกระทบส่งผลต่อบริษัทการนำกลยุทธ์       
 2. Perception of past Success: หมายถึงการนำเอาผลงานหรือผลสำเร็จของงานที่ผ่านมาแล้ว มาพิจารณาและวิเคราะห์ เพื่อนำมาปรับปรุงประสิทธิภาพขอการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนาปรับปรุงเพื่อไม่ให้เกิดหรือส่งผลไม่ดีต่อบริษัทซึ่งอาจจะส่งผลเกี่ยวกับผลกำไรของบริษัทได้ และเป็นมาตรการณ์เพื่อสร้างระบบการวางแผนการจัดการเชิงกลยุทธ์ ในการแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นใหม่

กรอบความคิดที่ 2. หมายถึง การขับเคลื่อนทางธุรกิจ หรือการเตรียมตัวตั้งรับของธุรกิจในรูปแบบต่าง แบ่งออกเป็น ลักษณะของธุรกิจ 3 ประเด็น คือ

             1) Compettitor Orientation: การเข้ามาของคู่แข่งขันเป็น บริษัทจะต้องวิเคราะห์ จุดอ่อน (w) และจุดแข็ง(s) ของบริษัท และใช้กลยุทธ์ที่สามารถแก้ปัญหาได้ อาทิเช่น BCG ฯลฯ               
2) Cultural Entrenchment: การสร้างวัฒนธรรมขององค์กรและจิตสำนึกรักในการทำงาน  เพื่อให้มีเกิดการร่วมมือและมุ่งสร้างความเข้มแข็งของบริษัท
             3) Resource Richness: ความพร้อมและกำลังความสามารถในถือครองทรัพยากรของบริษัท เป็นเป็นจัยที่ช่วยในการขับเคลื่อนการดำเนินงานของบริษัท การจัดการสภาพคล่องทางการเงิน การบริหารจัดการเวลา เพื่อเสริมสร้างให้สอดคล้องกับแผนงานและสร้างผลการดำเนินงานและผลกำไรอย่างต่อเนื่อง 
                4) Anti-planning Political Behavior: การป้องกันนโยบายทางการเมือง ย่อมส่งผลต่อบริษัท อาจส่งผลให้แผนอาจหยุดชะงัก ไม่เป็นไปตามเป้าหมายของบริษัท

       กรอบความคิดที่ 3 Environmental Factors: หมายถึง ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมหรือบริบทต่าง ทั้งคู่แข่งขัน การเปิดทัศนคติมุมมองการเรียนรู้และยอมรับสิ่งใหม่ ประกอบด้วย 2 ปัจจัย คือ
1) Competitive Intensity: ความสามารถต่อคู่ธุรกิจในการแข่งขันด้านการวางแผนที่ต้องศึกษาข้อมูล แสวงหาโอกาสทางการแข่งขัน และการปรับตัวที่ดีกว่า เช่นผลิตภัณฑ์ การบริการ เพื่อนำมาใช้จัดการเชิงกลยุทธ์ที่เหนือคู่แข่งขัน
2) Industry-wide Mindset:  เปิดกว้างทางความคิดหรือเปิดรับสิ่งใหม่ อาทิเช่น ข้อมูลต่างๆเพื่อ เป็นการสร้างโอกาสในการแข่งขันและเกิดประโยชน์กับบริษัท เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับบริษัทและนำมาซึ่งการปรับใช้หรือวาง แผนการจัดการเชิงกลยุทธ์

                                                       ลำดับขั้นและกระบวนการวางแผนเชิงกลยุทธ์
หลังจากได้ศึกษา การเริ่มต้นในการวางรากฐานการคิดที่จะดำเนินธุรกิจ มาแล้วนั้น ขั้นตอนต่อไปคือการจัดลำดับขั้นหรือกระบวนการวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อให้ ธุรกิจสามารถดำเนินการไปถูกทิศทาง และเป็นประโยชน์ขององค์กรนั้น การกำหนด พันธะกิจและวิสัยทัศน์ เป็นธรรมชาติของธุรกิจ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์กรหรือบริษัท ได้มีแนวทางในการที่จะไปสู่จุดมุ่งหมายและประโยชน์ร่วมกันยกตัวอย่างเช่น ฝ่ายโรงงานจะต้องมีการออกแบบและพัฒนาสิ่งใหม่หรือปัจจุบันที่เรา เรียกว่า “นวัตกรรม” และทางฝ่ายขาย ต้องมีการนำเสนอความต้องการของลูกค้าหรือข้อกำหนดของผลิตภัณฑ์ ให้เป็นไปตามความต้องการของตลาด หากพิจารณาตามที่ (Hosscini-Nazab:2011) ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า “ความต้องการของกลุ่มลูกค้าจะเป็นตัวกำหนดและสร้างช่องทางการจัดจำหน่ายและกิจกรรมด้านบริโภค ในพื้นที่นั้นๆ” การที่องค์กรจะแสดงวิสัยทัศน์ออกมาจะต้องจุดยืนและความแน่นอนพร้อมนำเสนอ ทางลักษณะทางกายภาพขององค์กรออกมาด้วย                 
กระบวนการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ฉะนั้นการวางแผนทางด้านกลยุทธ์หรือกระบวนการวางแผนตามกรอบความคิดของท่าน (Rezaian,2008) สามารถอธิบายตามรูปที่ 2 ดังนี้


                                                                   Source: (Rezaian, 2008).

FIG.2: Steps of startegic planning process.
1. การกำหนดวัตถุประสงค์ คือ การหา วิสัยทัศน์และภารกิจขององค์กรเพื่อให้ทราบว่าองค์กร มีวิสัยทัศน์ เรื่อง ในอนาคตว่าได้กำหนดให้องค์กรเป็นอย่างไร กล่าวคือ อะไร คือเป้าหมายพื้นฐาน และอะไร คือเป้าหมายเฉพาะ และการกำหนดวัตถุประสงค์จะทำให้เห็นเป้าหมายที่ชัดเจน และตรงจุดเป้าหมายขององค์กร
2. การกำหนดเป้าหมาย ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายเฉพาะของหน่วยงาน คือ บอกเป้าหมาย ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายเฉพาะของหน่วยงาน ซึ่งเป้าหมายจะต้องมีลักษณะที่สามารถวัดได้เป็นตัวเลขและ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ระยะยาวขององค์กร
3. การพัฒนากลยุทธ์ เพื่อหาโอกาส และการกำหนดกลยุทธ์เพื่อแก้ปัญหา คือ การค้นหาวิธีการเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามที่วางไว้โดยอาศัยปัจจัย ทั้งภายในและภายนอก ตลอดจนหาจุดอ่อนเพื่อป้องกันหรือแก้ปัญหา และกำหนดจุดแข็งขององค์กรเป็นพื้นฐานหลักในการพัฒนาตัดสินใจ เพื่อเลือกกลยุทธ์ทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อเป็นการวางแผนและปฏิบัติการ
4. การกำหนดแผนงานพร้อมกับเป้าหมายกลยุทธ์ หมายถึง การลำดับขั้นตอนของการปฏิบัติงานอย่างชัดเจนว่าจะทำอะไรก่อนหลังและการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการในช่วงเวลาใด จะต้องใช้ทรัพยากรอะไรบ้างและปริมาณเท่าใด การกำหนดแผนปฏิบัติงานจะทำให้สามารถตรวจสอบผลการดำเนินงานได้และให้สามารถนำปัญหาอุปสรรค ที่เกิดมาแก้ปัญหาอุปสรรคเหล่านั้นได้ ให้สำเร็จลุล่วงตามแผนที่กำหนดไว้
5. การตั้งโปรแกรมเกี่ยวกับกลยุทธ์ ได้แก่ กระบวนการในการพิจารณา วิเคราะห์ ตัดสินใจ และคาดเดา เกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมภายในและภายนอกองค์กร เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี สังคม การเมือง ซึ่งก่อให้เกิดโอกาสและข้อจำกัด ซึ่งมีผลกระทบต่อจุดอ่อนและจุดแข็งขององค์กร เพื่อแสวงหาทิศทาง วิธีการนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
6. การปฏิบัติตามแผนและเลือกกลยุทธ์ คือ การดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ ก่อให้เกิดประสิทธิผล ตาม แผนที่วางไว้ มีปัญหาและอุปสรรคอย่างไร ที่จะส่งผลต่อการดำเนินงานประสบผลสำเร็จตามที่คาดหวัง ตลอดจนหาวิธีการในการแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงในอนาคต
KEY WORD: Step of Strategic planning process, (Rezaian,2008), (Hosscini-Nazab:2011),การกำหนดวัตถุประสงค์





 The five competitive forces that shape strategy.
Five Force Model ของ Michael E.Porter (Porter, 1996) ได้คิดเครื่องมือที่ใช้สำหรับการวิเคราะห์ และประเมินศักยภาพแต่ละด้านออกมา ด้วยวิธีการประเมินความสมดุลของพลังในการต่อรองทางธุรกิจในสถานการณ์ทั่วไป ซึ่งแต่ละธุรกิจจะมีหลายปัจจัยและหลายรูปแบบที่จะทำให้ส่งผลกระทบต่อการทำกำไรขององค์กร หากเป็นองค์กรทางภาคอุตสาห์กรรมจะได้รับผลกระทบมาก ในแต่ละธุรกิจจะมีการแข่งขัน สิ่งที่บริษัทจะต้องรู้ในเรื่องของการแข่งขันคือ
1.ใครคือคู่แข่งขันทางตรงของตนเอง ต้องแสวงหาข้อมูลของคู่แข่งที่ดำเนินธุรกิจประเภทเดี่ยวกันหรือใกล้เคียง
2.คู่แข่งขันมีกลยุทธ์อะไร มีจุดแข็ง จุดอ่อนอย่างไร เนื่องจากการแข่งขันจะอยู่ภายใต้ระบบ Competitive Intelligent System คือต้องรู้ความลับของคู่แข่งและต้องสร้างกลยุทธ์ขึ้นมาเพื่อให้เกิดการแข่งขันจะทำให้ไม่ต้องสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด
3.กำหนดตำแหน่งของตนเองให้ได้ คือต้องรู้ว่าตนเองเป็นใครในตลาด เป็นผู้นำ เป็นผู้ตาม หรือเป็นเจ้าของตลาดที่เป็นเอกลักษณ์ตัวเอง
การวิเคราะห์การแข่งขัน เป็นการวิเคราะห์ว่าธุรกิจใดที่ควรลงทุน หรือไม่ จะมีการพิจารณาถึงพลัง 5 ตัว (Five Force) คือ
1.ผู้จะเข้ามาเล่นใหม่ Potential Entrant
2.คู่แข่งขันเดิมที่มีอยู่ Industry Competitive
3.ซัพพลายเออร์และพลังของซัพพลายเออร์
4.สินค้าทดแทน Substitution
5.ลูกค้าและพลังของลูกค้า Buyer Power
                การวิเคราะห์การแข่งขัน ต้องวิเคราะห์ทั้ง 5 ตัว เนื่องจากเป็นเรื่องที่เป็นโครงสร้างหลักที่จะต้องนำมาพิจารณา ยกตัวอย่างเช่น หาก พลัง (Force) ในแต่ละด้าน อาทิเช่น 1.ผู้จะเข้ามาเล่นใหม่ Potential Entrant มีความอ่อนแอ ขณะที่เราก็เป็นผู้นำ 2.คู่แข่งขันเดิมที่มีอยู่ Industry Competitive มีคู่แข่งน้อยราย
3.ซัพพลายเออร์และพลังของซัพพลายเออร์ มีจำนวนคู่ค้าหรือแหล่งวัตถุดิบป้อนมาก ซัพพลายเออร์มีมาก
4.สินค้าทดแทน Substitution สินค้าทดแทนไม่มีหรือเทียบเคียงยงได้5.ลูกค้าและพลังของลูกค้า Buyer Power มีลูกค้าจำนวนมาก ก็จะเป็นธุรกิจที่น่าลงทุนประกอบกิจการ แต่ในทางกลับกันหาก ด้านที่เป็นคู่แข็งมี ทุกตัวเข้มแข็งหมด คู่แข่งเก่ง ผู้เล่นรายใหม่กำลังจะเข้ามา ลูกค้าน้อย สินค้าทดแทนมีมาก ซัพพลายเออร์มีน้อยรายและมีความเข้มแข็ง ธุรกิจแบบนี้ก็จะไม่น่าลงทุน  ฉะนั้น การเป็นผู้ประกอบการจะต้อง นำหลักการพิจารณา  Five Force ทั้ง 5 ด้าน และขึ้นว่าอยู่กับเราทำธุรกิจอะไร ก็สามารถเอามาวิเคราะห์ได้
                การแบ่งประเภทแข่งขัน แบ่งตามลักษณะหลักได้  2 แนวทาง (Concept) ดังนี้
                1. Industry Concept of Competition (อุตสาหกรรมคือการที่มีผู้ผลิตหลายราย ผลิตสินค้าเหมือนๆกันก็จะอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน) Concept จะพิจารณาด้าน
1.1 จำนวนผู้ขายและดูว่าผู้ผลิตแต่ละรายมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน เช่น รายเดียวผูกขาด (Pure Monopoly) การแข่งขันก็จะน้อย หากสินค้าที่ผู้ขายทั้งหมดรวมกันมีความแตกต่างกันน้อย การแข่งขันจะรุนแรง เพราะสามารถเลือกซื้อจากผู้ขายได้ ผู้ประกอบการก็มักจะใช้ราคา เป็นกลยุทธ์ในการแข่งขัน ถ้าผู้ผลิตมีรายเดียวผูกขาด ผู้ขายน้อยราย สินค้ามีความแตกต่างกันมาก หากมีผู้ขายมากราย ไม่มีใครได้เปรียบใคร ผู้ซื้อและผู้ขายมีข้อมูลสมบูรณ์ จะเป็นการแข่งขันที่สมบูรณ์ (Pure Competitive)
                1.2 การเข้า การออกและการเติบโตในธุรกิจ หมายถึง การแข่งขันที่สมบูรณ์ หากเป็นรายเล็กโอกาจะโตขึ้นจะมีสูง ถ้ารู้สึกแข่งขันไม่ไหวจะออกจากการแข่งขันก็ทำได้ ประเด็นกลับกัน กรณี เป็นการแข่งขันไม่สมบูรณ์รายเล็กจะโตได้ยาก และออกจากแข่งขันไม่ได้ แต่ตัวสามารถเปลี่ยนเจ้าของได้
                1.3 โครงสร้างของต้นทุน ทั้งต้นทุนทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ
                1.4 การทำครบวงจรทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ หรือไม่ แต่การทำครบวงจรบางครั้งก็ไม่สำเร็จ
                1.5ขอบเขตการตลาดดูว่าเราจะขายสินค้าในตลาดระดับใด เป็นแค่ระดับท้องถิ่น ระดับชาติ หรือระดับโลก แต่ละระดับมีความได้เปรียบเสียเปรียบต่างกัน
                2. Marketing Concept of Competition เป็น Concept ที่เอาลูกค้าเป็นตัวตั้งในการวิเคราะห์การแข่งขัน การพัฒนาธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่และพัฒนาสินค้าที่เป็นส่วนต่อเนื่องกัน ให้เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ในเครือเดียวกัน

จากวิเคราะห์หรือวิธีการแก้ปัญหาสำคัญ คือ วิธีการเลือกกลยุทธ์และใช้กลยุทธ์ที่ดีที่สุด คำนิยามที่แตกต่างกันสำหรับกลยุทธ์ที่นำเสนอโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการดังนี้ (Rezaian, 2008)
“ พอร์เตอร์” E.Porter (Porter, 1996) ประกาศว่า "กลยุทธ์คือการสร้างตำแหน่งที่ไม่ซ้ำคนอื่นและมีคุณค่าที่เกี่ยวข้องกับ ความแตกต่างกันของธุรกิจหรือกิจการที่ดำเนินการ ควรเลือกเพียงหนึ่งกลยุทธ์ที่เหมาะสม ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้สำหรับกลยุทธ์อื่น ดังนั้นสาระสำคัญของการวางกลยุทธ์คือการเลือกกิจกรรมที่แตกต่างจากคู่แข่ง โดยหลักทั่วไปของผู้บริหารกลยุทธ์ คือการกำหนดตำแหน่งของ บริษัท ทำให้คู่ค้าไม่มีโอกาสแข่งขันและไม่สามารถเลียนแบบได้ (Porter, 1996). 
Ansoff "Forouzandeh 2005" ได้ให้ความหมายของกลยุทธ์ หมายถึง "กลยุทธ์คือความเข้าใจที่ครอบคลุมในการรับผิดชอบต่อสิ่งที่สำคัญและการเติบโตของการจัดการโดยองค์กรย้ายตามสภาพแวดล้อมและตรวจสอบสถานที่ในวิธีการที่จะ ให้ความสำเร็จขององค์กร
กลยุทธ์ การเป็นโปรแกรมขนาดใหญ่และการเล็งเห็นในการปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมการ แข่งขันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร กลยุทธ์เป็นเพียงวางแผนขององค์กรและให้กรอบความคิด สำหรับผู้บริหารตัดสินใจ-(Pearce & Robinson, 2009)
ร็อบบินส์ : Robbinsได้อธิบายว่า การกำหนดกลยุทธ์เป็นกระบวนการของการกำหนดเป้​​าหมายในระยะยาวโดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน, การใช้การใช้แรงงานและการจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ ตามที่ร็อบบินส์มีสองทฤษฎีที่พบบ่อยเกี่ยวกับกลยุทธ์ดังนี้
ทฤษฎีที่ 1: กลยุทธ์การวางแผนและมีการวางแผนรัฐ มัน เป็นแนวทางที่ชัดเจนและพัฒนาสูตรก่อนหน้านี้และผู้จัดการการตรวจสอบที่พวก เขาต้องการจะไปและเข้าถึงไปยังปลายทางที่พวกเขากำหนดแผน principled และองค์กรและหลังจากนั้นให้ทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของพวก เขา
ทฤษฎีที่ 2 : กลยุทธ์การมีสถานะ "evolutional" มัน หมายถึงกลยุทธ์ที่ไม่ได้เป็นพื้นโดยเจตนาและเป็นระบบแผนและเมื่อเวลาผ่านไป มันโผล่ออกมาเป็นรูปแบบในระหว่างการตัดสินใจที่สำคัญ (Robbins, 2008)  เพื่อกำหนดกลยุทธ์สำหรับองค์กรรูปแบบต่างๆและวิธีการให้บริการโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการ ควรสังเกตว่าการใช้รูปแบบใดขึ้นอยู่กับความเข้าใจที่ถูกต้องขององค์กรนั้นและความต้องการของตน สำหรับสูตรกลยุทธ์ Five Force Model ของ Michael E.Porter (Porter, 1996)   ที่สามารถช่วยให้ บริษัท ที่จะเข้าใจโครงสร้างของอุตสาหกรรมและการถือหุ้นของ บริษัท ออกเป็นตำแหน่งที่มีกำไรมากขึ้นและไม่เสี่ยงที่จะถูกโจมตี โดยทั่วไปการสร้างพื้นฐานของทุกวิธีการวางแผนเชิงกลยุทธ์คือสภาพแวดล้อมการแข่ง ขันและการวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อนำมาใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและวิสัยทัศน์ ในขณะที่องค์กรสามารถแข่งขันกับคู่แข่ง วิธีการการแข่งขันกลยุทธ์รูปร่าง Five Force Model ของ Michael E.Porter (Porter, 1996)  การทำความเข้าใจในความเป็นจริงของสภาวการณ์การแข่งขันของอุตสาหกรรม เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการพัฒนากลยุทธ์ทุกบริษัท แล้วควรจะรู้ว่าสิ่งที่ทำกำไรเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่เป็นและวิธีการที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป ในการทำกำไรของอุตสาหกรรม



 
Fig. 4: The five competitive forces that shape strategy.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น